อเวย์โกลที่ต้องการ ! เจาะ 5 ประเด็น เชลซี บุกเสมอ เรอัล มาดริด ตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ ลีก

เชลซี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการบุกเยือน เรอัล มาดริด เมื่อสามารถยันเสมอเจ้าบ้านแบบมีสกอร์ 1-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาถือความได้เปรียบเล็กน้อยจากการยิงประตูนอกบ้าน หรือ “อเวย์โกล”

 "สิงโตน้ำเงินคราม" กล้าเล่นแบบไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีของเจ้าบ้าน และมาได้ประตูสำคัญตั้งแต่นาทีที่ 14 จาก คริสเตียน พูลิซิช อย่างไรก็ตามในนาทีที่ 29 คาริม เบนเซม่า โชว์ความเป็นยอดกองหน้าด้วยการยิงประตูสุดสวยตีเสมอได้อย่างยอดเยี่ยม

 ช่วงเวลาที่เหลือต่างฝ่ายต่างสร้างโอกาสไม่ค่อยได้เยอะนัก จบเกมเสมอกันไปแบบสุดมัน แต่งานนี้ โธมัน ทูเคิ่ล และลูกทีม ค่อนข้างได้เปรียบอยู่พอสมควรจากการที่พวกเขามีประตูทีมเยือนเก็บเอาไว้ ฉะนั้นในเกมเลกสองที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ คอลูกหนังคงจะได้เห็นเกมรุกแบบพายุถล่มของ "โลส บลังโกส" แน่นอน 

1. ความเฉียบคมของกองหน้าแตกต่างกัน

 เบนเซม่า พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งแล้วว่าเขาคือนักเตะที่ช่วยให้ เรอัล มาดริด รอดพ้นหายนะได้ จังหวะในการยิงประตูของ "เบนซ์" ในครึ่งแรกทำให้ "โลส บลังโกส" ไม่ต้องตกอย่างภายใต้แรงกดดันมากเกินไปสำหรับผลการแข่งขันในเลกแรก

 ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เบนเซม่า มักจะโดน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ บดบังรัศมีมาตลอด และต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของ "ซีอาร์ 7" แต่ตอนนี้ "ราชันชุดขาว" ต้องเปลี่ยนมาพึ่งพาเขา เพราะดาวเตะชาวฝรั่งเศส มักจะช่วยยิงประตูสำคัญๆ ให้ทีมได้ตลอด

 จังหวะในการจบสกอร์ของ เบนเซม่า แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกองหน้าที่มีความเฉียบคมมากแค่ไหน เฉพาะแมตช์นี้แนวรุกของเจ้าบ้านไม่ค่อยได้สร้างโอกาสมากนัก แต่เมื่อ "เบนซ์" มีโอกาสเขาก็ไม่ทำให้เพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลต้องผิดหวัง

 สวนทางกับ ติโม แวร์เนอร์ ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายให้กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" แต่ก็เข้าอีกหรอบเดิมเมื่อยิงไม่ดี และนั่นเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ดาวเตะชาวเยอรมัน ขาดทั้งความมั่นใจ และความเฉียบคม

 นี่เป็นอีกครั้งที่ เชลซี สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมแต่พวกเขายังขาดกองหน้าระดับโลกในการจบสกอร์ ขณะที่ เรอัล มาดริด ยังคงมีโอกาสที่จะได้เข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศ เพราะพวกเขามีหัวหอกที่สุดเฉียบคมช่วยชีวิตเอาไว้ 
 
2.  ระบบหลัง 3 ตัวใช้ได้ผลกับทีมใหญ่

 แมตช์นี้ โธมัส ทูเคิ่ล และ ซีเนดีน ซีดาน สองกุนซือเลือกใช้แผนการเล่นที่มีแนวรับ 3 ตัวเท่านั้น แต่งานนี้ผลลัพธ์ดูเหมือนว่า เชลซี จะไปได้สวยกับระบบแบบนี้ เพราะพวกเขาเคยทำได้ดีเยี่ยมในการสู้กับทีมแกร่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาแล้ว

 การให้ฟูลแบ็กทั้งสองข้างมีจังหวะในการเติมเกมรุกมากยิ่งขึ้นทำให้ "สิงห์บลูส์" สามารถกดดัน เรอัล มาดริด ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นระบบที่ ทูเคิ่ล ตั้งใจจะนำมาใช้เวลาที่เจอกับทีมใหญ่ๆ เพราะมันได้ผลดีเยี่ยมมาตลอด

 โดยเฉพาะในแมตช์ที่ เชลซี ปะทะกับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ซึ่งพวกเขาสามารถสร้างปัญหาให้กับทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้ดีเยี่ยม และสุดท้ายก็สามารถเขี่ย แมนฯ ซิตี้ ร่วงตกรอบได้สำเร็จ

 ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็น นายใหญ่ชาวเยอรมัน เลือกใช้แนวรับ 3 ตัวเพื่อเล่นงาน "ราชันชุดขาว" และมันก็ได้ผลจริงๆ โดย เชลซี จัดการโจมตีพื้นที่ว่างของเจ้าบ้านได้ตลอด แถมมีโอกาสที่จะปิดบัญชีคู่แข่งได้ด้วย แต่เดชะบุญที่ ซีดาน รู้ทันก็เลยมีการแก้เกมได้ซะก่อน ไม่งั้นผลการแข่งขันอาจจะไม่ได้ออกมาเป็นแบบนี้

3. ขุมกำลังสำรองไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก

 เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่มีนักเตะที่เต็มไปด้วยชื่อเสียงมากมายมาตลอด ในเวลานี้พวกเขามีผู้เล่นที่่ผ่านการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 สมัยอยู่หลายคน แต่อย่าลืมว่านักเตะเหล่านั้นก็เริ่มโรยราไปตามกาลเวลาแล้ว !!

 ลองเช็คผู้เล่นตัวหลักๆ ของ "ราชันชุดขาว" ในเกมนี้ไม่ว่าจะเป็น โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช และ คาเซมิโร่ รวมไปถึง คาริม เบนเซม่า ปัจจุบันอายุอานานก็เข้าหลักสามกันไปหมดแล้ว ฉะนั้นพวกเขาจะยืนเป็นเสาหลักให้กับทีมไปได้อีกกี่ปี

 แม้จะยอมรับว่าผู้เล่นเหล่านี้รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้ทีมชนะ หรือจะจัดการกับโอกาสมีไม่มากให้เป็นประตูได้ยังไง โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นมาจากคุณภาพชั้นยอดที่พวกเขามี แต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาเกิดอยู่ในช่วงฟอร์มฝืด หรือโดนจับทางได้ ซีดานก็ไม่สามารถส่งผู้เล่นสำรองลงมาช่วยทีมได้ เพราะนักเตะที่มีอยู่ศักยภาพไม่ถึง

 บอกกันตามตรง เรอัล มาดริดชุดนี้ ไม่ควรที่จะได้มาไกลถึงรอบรองชนะเลิศ ถ้วยใบโตยุโรปด้วยซ้ำ และพวกเขาก็ไม่ควรที่จะมีโอกาสได้ลุ้นแชมป์ ลา ลีกา มาจนถึงช่วยปลายฤดูกาลแบบนี้ เพราะขุมกำลังที่มีอยู่ในเวลานี้มันยากจะทำได้ แต่ด้วยคุณภาพของผู้เล่นมากประสบการณ์ทำให้ทีมมาได้ไกลมากๆ 

 ฉะนั้นคงไม่ได้เป็นการพูดปรามาสเกินไปที่จะบอกว่านี่คือหนึ่งในทัพ "โลส บลังโกส" ที่น่าประทับใจน้อยที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และหากทีมสามารถทะลุเข้ารอบชิง แชมเปี้นส์ ลีก ได้ ต้องยกเครดิตให้กับบรรดาแข้งจอมเก๋าเหล่านี้ 
 
4. ไอ้หนุ่มมะกันสร้างฝันที่ยิ่งใหญ่

 เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา คริสเตียน พูลิซิช กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ยิงประตูในศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศได้ และตอนนี้เขาเพิ่งจะเป็นหนุ่มจากแดนลุงแซมคนแรกที่สามารถยิงประตูในรอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้

 ดาวเตะหมายเลข 10 ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง และแมตช์นี้เขาก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพชั้นยอด และการเล่นได้อย่างเข้าขากับเพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะจังหวะในการทำประตูให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" ขึ้นนำในช่วงครึ่งแรก

 ประตูนี้นอกจากจะเป็นอเวย์โกลแล้วยังทำให้ พูลิซิช กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดของ เชลซี ในวัย 22 ปี กับ 221 วันที่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายในรอบรองชนะเลิศ ถ้วยใบโตยุโรป ขณะเดียวกันในครึ่งแรกไอ้หนุ่มมะกันยังสามารถความปั่นป่วนให้กับเกมรับของ "ราชันชุดขาว" ได้ตลอด

 แม้ว่าในครึ่งหลังผลงานของเขาจะดร็อปลงไปบ้าง และสุดท้ายก็โดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย แต่ตอนนี้ ทูเคิ่ล ได้พบกับตำแหน่งที่เพอร์เฟกต์สำหรับ พูลิซิช แล้ว ที่สำคัญตัวนักเตะก็เริ่มกลับมาโชว์ฟอร์มได้สะเด็ดสะเด่าเหมือนตอนที่เขาอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และก็พร้อมที่จะสู้เพื่อยึดตัวจริงให้ได้
 
5. อเวย์โกลที่ต้องการ

 ก่อนเกมนี้บรรดานักวิจารณ์ทั้งหลายต่างรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย เชลซี เหลือเกินว่าอาจจะไม่รอดเหมือนกับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ในการบุกเยือนถิ่น เอสตาดิโอ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ เพราะเจ้าบ้านค่อนข้างจะเล่นได้เหนียวแน่น และแข็งแกร่งในบ้านตัวเอง

 อย่างไรก็ตาม ทูเคิ่ล วางแผนมาเป็นอย่างดีในการสู้กับยอดทีมแห่งศึกลา ลีกา และพวกเขาก็ไม่ได้หวั่นไหวเรื่องชื่อเสียงของ เรอัล มาดริด เลย โดยทีมกล้าแลกหมัดเข้าใส่เพื่อหวังจะทำประตูให้ได้ก่อน และก็ทำได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

 แม้จะไม่สามารถรักษาสกอร์นำได้ตลอดรอดฝั่งก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วผลเสมอแบบมีสกอร์ทำให้ เชลซี กลับไปเล่นเกมเลกสองที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมกับความได้เปรียบที่สำคัญมากๆ นั่นก็คือการได้ประตูทีมเยือนหรืออเวย์โกล

 เพียงแค่พวกเขาเสมอแบบไร้สกอร์ในเกมนัดต่อไป นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ เชลซี ทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ทูเคิ่ล คงไม่คิดที่จะมาเล่นเกมรับใน "เดอะ บริดจ์" แน่นอน เพราะการทำแบบนั้นกับ แชมป์ถ้วยใบโตยุโรป  13 สมัยถือเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ 

 แต่แน่นอนว่าพวกเขาคงเล่นแบบรัดกุมซึ่ง กุนซือเลือดด๊อยท์ช ก็มักจะทำได้ดีเวลาวางหมากเพื่อเน้นผลการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้นเกมหน้า เรอัล มาดริด ต้องเดินหน้ายิงประตูให้เร็วที่สุด งานนี้อาจจะได้เห็นทีเด็ดจากพวกแข้งความเร็วสูงของ "สิงห์บลูส์" ก็ได้ 

    ทอมเม้ง