ย้อนดูการพาดพิงจาก คีน ถึงอดีตคนร่วมงานหลังเจ้าตัวแขวนสตั๊ด

ปกติแล้วเมื่อนักเตะคนไหนก็ตามประสบความสำเร็จอย่างมากกับสโมสรใดสโมสรหนึ่ง พวกเขาก็มักจะพูดถึงเรื่องดีๆ ของสโมสรเหล่านั้นแทบทุกครั้งตามไปด้วย เพราะการประสบความสำเร็จมันก็หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นมีช่วงเวลาที่ดีกับทีม

    อย่างไรก็ตาม รอย คีน อดีตยอดกองกลางชาวไอริชเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ แมนฯ ยูไนเต็ด จนเข้าขั้นระดับตำนานของทีม แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้เจ้าตัวมักจะออกมาพูดถึงทีมเก่าในแง่ลบอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะทั้งสมัยที่ยังเล่นอยู่ หรือหลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว โดยเฉพาะ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่มักจะโดน คีน พาดพิงบ่อยที่สุด จากการที่ทั้งคู่บาดหมางกัน

    ทั้งนี้ ล่าสุด คีน ก็ออกมาพูดถึงนักเตะอย่าง เวย์น รูนี่ย์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยที่ยอมรับว่าตัวเองเข้ากับทั้งคู่ไม่ได้เท่าไหร่ เพราะนิสัยแตกต่างกัน ซึ่งวันนี้เราจะมาย้อนดู 3 ตัวอย่างที่ คีน เคยพาดพิงถึงคนที่เคยร่วมงานกับเขาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากเจ้าตัวแขวนสตั๊ดไปแล้วกัน

    – เวย์น รูนี่ย์
    คำให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของ คีน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาออกมาพูดถึง รูนี่ย์ หลังจากที่เจ้าตัวแขวนสตั๊ดไปแล้ว ย้อนกลับไปในตอนปี 2015 รูนี่ย์ โดนจับภาพได้ว่าไปร่วมชมแมตช์มวยปล้ำของ WWE ค่ายมวยปล้ำเพื่อความบันเทิงยักษ์ใหญ่ และเขาก็มีส่วนร่วมกับแมตช์ปล้ำแบบขำๆ จากการได้ตบนักมวยปล้ำด้วย

    สำหรับบางคนแล้วนั้นเป็นบรรยากาศทื่ดูร่าเริง แต่ไม่ใช่ในสายตาของอดีตดาวเตะชาวไอริชที่เคยเป็นรุ่นพี่ของ รูนี่ย์ ตอนที่ทั้งคู่ยังเล่นด้วยกันในสีเสื้อของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดย คีน กล่าวตอนไปทำงานนักวิเคราะห์ครั้งหนึ่งว่า "สัปดาห์ก่อนผมเห็นเขาไปดูแมตช์มวยปล้ำ แล้วได้ตบนักมวยปล้ำ ผมคิดทันทีว่า -มันจะไปยุ่งกับเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้ทำไมวะ ?- มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย"

    "ผมไม่มีปัญหาอะไรกับการที่นักเตะจออกไปเที่ยวและหาความสนุกใส่ตัวหรอกนะ แต่ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดีแล้วล่ะก็ คุณก็ต้องพืจารณาตัวเอง และเขายังต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่นๆ ด้วย คืนนั้นเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาดูหลุดจากกรอบที่เหมาะสม"

    – เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
    อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า คีน กับ เฟอร์กูสัน จบความสัมพันธ์กันแบบไม่สวยเท่าไหร่ หลังจากที่ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงด้วยหลายๆ สาเหตุ อย่างเช่นการที่ เฟอร์กูสัน ไม่พอใจที่ คีน ตำหนิเพื่อนร่วมทีมต่อหน้าที่สาธารณะ และการที่ คีน ไม่พอใจที่โดนปรับเพราะออกมาตำหนิเพื่อนร่วมทีม เป็นต้น จนทำให้สุดท้ายแล้วอดีตกองกลางชาวไอริชจำเป็นต้องเป็นฝ่ายบอกลา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไปในปี 2005

    ถึงกระนั้น ตอนที่ คีน รับงานผู้จัดการทีม ซันเดอร์แลนด์ และต้องนำทีมไปเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด เขาก็หวังว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายจะให้เกียรติเขาด้วยการต้อนรับในระดับคนที่เคยร่วมงานกัน และชวนเขาไปดื่มไวน์หลังจบเกม เพราะ เฟอร์กูสัน มักจะทำอย่างนั้นกับกุนซือทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งคู่แข่งอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ และ โชเซ่ มูรินโญ่

    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เฟอร์กูสัน กลับไม่ได้ชวน คีน ไปนั่งจิบไวน์ด้วยกัน และแม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะติดต่อไปขอโทษ คีน ในภายหลัง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รอยร้าวระหว่างทั้งคู่ดีขึ้นเลย

    "เฟอร์กูสัน ไม่โผล่มาหาผม ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม อีกไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาโทรศัพท์มาเพื่อขอโทษผม เขาบอกว่าพอดีหลังจากจบเกมนั้นแล้วเขาต้องรีบไปทำธุระบางอย่าง และไม่อย่างนั้นแล้วเขาก็จะยอมรอผม ผมตอบเขากลับไปว่าเขาควรจะมาดื่มไวน์ร่วมกับผม เหมือนที่เขาชอบทำกับผู้จัดการทีมคนอื่นๆ และบอกว่าเขาไม่ได้ความเคารพต่อทั้งผมกับสตาฟฟ์ของผมเลย" คีน ระบายอารมณ์

    – คลาส ออฟ 92
    "คลาส ออฟ 92" คือความภาคภูมิใจของแทบทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ แมนฯ ยูไนเต็ด คำดังกล่าวเป็นการสื่อถึงกลุ่มนักเตะที่มาจากอะคาเดมี่ของทีม ก่อนที่จะพัฒนาฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมจนกลายเป็นกำลังหลักของทั้งสโมสรในระดับทีมชาติ อย่างเช่น ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์ และ นิคกี้ บัตต์

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่า คีน จะคิดว่า สโคลส์ เป็นคนที่มีฝีเท้าดี แต่เขาก็ไม่ได้มองอดีตเพื่อนร่วมทีมว่ามีนิสัยนอกสนามที่ถ่อมตัวหรือติดดินเหมือนที่หลายคนคิดแบบนั้น และมันก็ทำให้เขามองด้วยว่า คลาส ออฟ 92 ถูกทำให้เหมือนเป็นพระเจ้าจนเกินไป แถมแข้งเหล่านั้นก็ยังเห็นดีเห็นงามไปด้วยอีก ทั้งที่จริงๆ แล้ว คลาส ออฟ 92 ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

    คีน เผยว่า "เขาเป็นนักเตะชั้นยอด แต่ผมไม่เออออห่อหมอกับไอ้เรื่องที่ว่ากันว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ทั่วไป หรือการที่บอกว่าเขาเป็นคนถ่อมตัวโคตรๆ หรอก เขามีด้านที่แสบและหวือหวามากกว่าที่หลายคนคิด ทุกคนกลับคิดว่าเขาอาศัยอยู่ในแฟลตธรรมดาๆ ซะอย่างนั้น"

    "จริงอยู่ว่าทุกคนใน คลาส ออฟ 92 ต่างก็เป็นนักเตะที่ดี แต่บทบาทของพวกเขากับสโมสรมันชักเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว ตอนนี้อารมณ์มันเหมือนกับว่า คลาส ออฟ 92 งอกขาเองได้ซะอย่างนั้น มันกลายเป็นแบรนด์ไปแล้ว มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นทีมที่แยกตัวออกมาจากทีมอีกทอดหนึ่ง และพวกเขาก็เห็นดีเห็นงามไปกับแนวคิดนั้นด้วย ทั้งที่จริงๆ แล้วเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายแบบเดียวกัน และมีความกระหายแบบเดียวกัน"

   
    – เด็กเกร็ดบอล –