[OPINION] 5 สาเหตุที่ทำให้ ลิเวอร์พูล พ่าย วัตฟอร์ด แบบช็อคคนทั้งโลก

  ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก แบบ “ไร้พ่าย” ของทีม หงส์แดง ลิเวอร์พูล หลังบุกไปพ่ายทีมท้ายตารางอย่าง แตนอาละวาด วัตฟอร์ด ด้วยสกอร์ 3-0 เมื่อคืนวันอาทิตย์   แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่คอลูกหนังทั้งโลกคาดหวังจะได้เห็น เพราะแม้แต่กองแช่งเองก็เชื่อสนิทใจว่าเด็ก ๆ ของ เยอร์เกน คล็อปป์ คงบุกตบเด็กคว้าสามแต้มมาครองได้แบบสบายเกือก   แต่ขอโทษ พอดีเด็กมันกำลังห้าวเป้ง !   และผลการแข่งระดับล็อคถล่มโลกครั้งนี้ก็ทำให้ความหวังจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยสถิติไร้พ่ายของสาวกหงส์แดงส่วนใหญ่ต้องพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา   แม้เหล่านักเตะ ลิเวอร์พูล จะไม่ได้คาดหวังถึงสถิติไร้พ่ายมากมายนัก แต่การแพ้ให้กับ วัตฟอร์ด ที่อยู่ในโซนตกชั้นแบบนี้ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ฉะนั้นเรามาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกมธรรมดา ๆ กลับกลายเป็นแมตช์ที่ต้องถูกจารึกไว้ตลอดกาล 1. ลิเวอร์พูล ขาดชีวิตชีวาตั้งแต่นาทีแรก ยันนาทีสุดท้าย   ตลอด 2 ฤดูกาลหลังสุด ลิเวอร์พูล ได้รับคำยกย่องอย่างสูงว่าเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าตื่นตาตื่นใจสุด ๆไม่ว่าจะเป็นเกมรุกอันรวดเร็วดุดัน จินตนาการเข้าทำหลากหลาย นักเตะวิ่งลืมตายตลอด 90 นาทีแม้ยามไม่ได้เป็นฝ่ายครองบอล   หรือแม้แต่ในวันที่สถานการณ์ไม่เป็นใจสุด […]

 

ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก แบบ “ไร้พ่าย” ของทีม หงส์แดง ลิเวอร์พูล หลังบุกไปพ่ายทีมท้ายตารางอย่าง แตนอาละวาด วัตฟอร์ด ด้วยสกอร์ 3-0 เมื่อคืนวันอาทิตย์

 

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่คอลูกหนังทั้งโลกคาดหวังจะได้เห็น เพราะแม้แต่กองแช่งเองก็เชื่อสนิทใจว่าเด็ก ๆ ของ เยอร์เกน คล็อปป์ คงบุกตบเด็กคว้าสามแต้มมาครองได้แบบสบายเกือก

 

แต่ขอโทษ พอดีเด็กมันกำลังห้าวเป้ง !

 

และผลการแข่งระดับล็อคถล่มโลกครั้งนี้ก็ทำให้ความหวังจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยสถิติไร้พ่ายของสาวกหงส์แดงส่วนใหญ่ต้องพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา

 

แม้เหล่านักเตะ ลิเวอร์พูล จะไม่ได้คาดหวังถึงสถิติไร้พ่ายมากมายนัก แต่การแพ้ให้กับ วัตฟอร์ด ที่อยู่ในโซนตกชั้นแบบนี้ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ฉะนั้นเรามาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกมธรรมดา ๆ กลับกลายเป็นแมตช์ที่ต้องถูกจารึกไว้ตลอดกาล

1. ลิเวอร์พูล ขาดชีวิตชีวาตั้งแต่นาทีแรก ยันนาทีสุดท้าย

Dejan Lovren,Roberto Firmino,Andy Robertson

 

ตลอด 2 ฤดูกาลหลังสุด ลิเวอร์พูล ได้รับคำยกย่องอย่างสูงว่าเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าตื่นตาตื่นใจสุด ๆไม่ว่าจะเป็นเกมรุกอันรวดเร็วดุดัน จินตนาการเข้าทำหลากหลาย นักเตะวิ่งลืมตายตลอด 90 นาทีแม้ยามไม่ได้เป็นฝ่ายครองบอล

 

หรือแม้แต่ในวันที่สถานการณ์ไม่เป็นใจสุด ๆ พวกเขาก็สามารถรักษาระดับความฮึกเหิมเอาไว้ได้ตลอด 90 นาที และขึงเกมรุกต่อเนื่องจนคว้าชัยชนะมาได้อย่างที่เราเห็นกันหลาย ๆ ครั้งในซีซั่นนี้

 

แต่น่าเสียดายที่สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ถูกงัดออกมาใช้เลยแม้แต่นิดเดียว หากมองผิวเผินดูเหมือนเด็ก ๆ ของ คล็อปป์ จะพยายามวิ่งไล่แล้ว จะพยายามขึงเกมรุกหาช่องยิงแล้ว แต่มันแตกต่างจากนัดก่อน ๆ โดยสิ้นเชิง

 

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการขาดหายไปของกัปตันเลือดเดือดอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำให้ไม่มีตัวขับเคลื่อนเกมจากกลางสนาม รวมถึงกระตุ้นเพื่อนให้ฮึกเหิมตลอดเวลาด้วย

 

ซาลาห์, มาเน อาจจะพยายามแล้ว เฟอร์มิโน ที่แทบไม่มีส่วนร่วมเองก็เช่นกัน แต่มันอยู่ห่างไกลจากคำว่าดีพอไปหลายเสาไฟฟ้า ขณะที่สองฟูลแบ็คอย่าง โรเบิร์ตสัน กับ เทรนท์ อาร์โนลด์ ก็ทำอะไรไม่สุดสักจังหวะ ขึ้นเกมมาทำบอลเสีย ครอสบอลเข้ากลางอย่างไร้ประสิทธิภาพ

 

ขนาด ฟาน ไดจ์ค ที่เคยช่วยให้เพื่อนรอบ ๆ ตัวเล่นดีมาตลอด วันนี้พอมี ลอฟเรน เป็นคู่หู กลับโดนกองหลังผู้เก่งสุดของโลกฉุดฟอร์มตกฮวบจนน่าใจหายทีเดียว

 

ต้องบอกว่านี่คือเกมที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในรอบหลายปีทีเดียว

2. ฟอร์มของ ลอฟเรน = ฝันร้ายของ ลิเวอร์พูล

FBL-ENG-PR-WATFORD-LIVERPOOL

 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนหงส์ส่วนใหญ่ใจคอไม่ดีตั้งแต่เกมกับ วัตฟอร์ด จะเริ่มเตะก็คือ คล็อปป์ เลือกใช้ เดยัน ลอฟเรน แทนที่ โจ โกเมซ โดยให้เหตุผลว่าสภาพร่างกายไม่ฟิตพอ

 

“กองหลังระดับโลก” ชาวโครเอเชีย ไม่ได้เป็นตัวจริงในเกมลีกมาตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้ว เพราะการจับคู่ของ ฟาน ไดจ์ค กับ โกเมซ ถือว่าเหนียวแน่นและพลาดยากจริง ๆ

 

และการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ตำแหน่งเดียวก็ส่งผลร้ายต่อทีมทันที เพราะ ลอฟเรน ไม่สามารถจัดการกับการขึ้นเกมของ ดูคูเร หรือ ดีนีย์ ได้เลย ทั้งเรื่องความแข็งแกร่ง, จังหวะ, ความเร็ว สุดท้ายเขากลายเป็นหลุมดำที่คู่แข่งจ้องโจมตี แถมพลอยฉุด ฟาน ไดจ์ค ให้แย่ลงอย่างที่บอกไว้ในข้อก่อนหน้าด้วย

 

3 ประตูที่ หงส์แดง โดน แตนอาละวาด ต่อยจนหน้าบวมเป่ง ลอฟเรน มีส่วนร่วมทั้งหมด โดยเฉพาะ 2 เม็ดแรกถือว่าชัดเจนมาก และถึงแม้ คล็อปป์ จะยืนยันว่าการเจอกับแนวรุกแกร่ง ๆ อย่าง ดีนีย์ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความไว้ใจของเหล่า เดอะ ค็อป คงไม่เหลือให้เซ็นเตอร์เบอร์ 6 คนนี้อีกแล้วแน่ ๆ

3. ฟอร์มอันร้อนแรงของ อิสไมลา ซาร์

FBL-ENG-PR-WATFORD-LIVERPOOL

 

ช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว ซาร์ ย้ายจาก แรนส์ ในลีกเอิงฝรั่งเศสมาอยู่กับ วัตฟอร์ด ด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติสโมสรที่ 30 ล้านปอนด์  แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ใช้เวลาปรับตัวค่อนข้างนานกว่าฟอร์มจะเริ่มเข้าที่

 

แต่คนหนึ่งที่มองเห็นพรสวรรค์ของ ซาร์ อยู่แล้วก็คือ ซาดิโอ มาเน จากทีม ลิเวอร์พูล นี่แหละ เพราะสองคนนี้สนิทสนมกันมานานในทีมชาติจนนับถือเป็นพี่น้องร่วมสาบาน

 

และพ่อณเดชน์ก็เคยเตือน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เอาไว้ช่วงเปิดฤดูกาลว่าให้ระวังปีกดาวโรจน์ชาวเซเนกัลคนนี้เอาไว้ให้ดี เพราะความเร็วของเขาอันตรายมากอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว

 

เกมกับ ลิเวอร์พูล แข้งวัย 22 ปีคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ วัตฟอร์ด คว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ เขาใช้ทักษะและความเร็วเข้าโจมตีกราบซ้ายของทีมเยือนที่มี ร็อบโบ้ และ ฟาน ไดจ์ค ประจำการอย่างเข้าเป้าแทบทุกดอก แถมยังยิงได้ 2 ประตูอีกด้วย

 

น่าเสียดายที่ เจ้าหนูซาร์ พลาดโอกาสทำแฮตทริกในช่วงนาทีที่ 82 แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่านี่คือ แมนออฟเดอะแมตช์ ในเกมดับซ่าหงส์แดงอย่างแท้จริง

 

4. แท็คติกของกุนซือ ไนเจล เพียร์สัน

FBL-ENG-PR-MAN UTD-WATFORD

 

ย้อนกลับไปในเกมนัดที่แล้ว วัตฟอร์ด ลงสนามไปสู้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยการพยายามวิ่งไล่กวดบอลอย่างเอาเป็นเอาตายโดยมี วิล ฮิวจ์ส คอยเล่นลูกหนักเพื่อตัดฟาวล์ แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายพ่ายยับซะเอง

 

ไนเจล เพียร์สัน เรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นแล้วปรับสูตรใหม่ในเกมต้อนรับจ่าฝูง โดยมีเกม UCL ที่ แอตเลติโก มาดริด หักปีกหงส์แดงเป็นตัวช่วยวิเคราะห์จุดอ่อน

 

แรกสุดเลย อดีตโค้ชจิ้งจอกสยาม สั่งให้ฟูลแบ็คสองข้างถอยลงต่ำและเน้นเล่นเกมรับแบบเต็มสูบจน เทรนท์-อาร์โนลด์ กับ โรเบิร์ตสัน ไม่สามารถสร้างสรรค์เกมบุกได้อย่างเคย

 

และเมื่อเกมริมเส้นถูกปิดตายแล้ว ลิเวอร์พูล ที่ด้อยในเรื่องการสร้างสรรค์เกมจากบริเวณกลางสนามก็แทบจะเป็นอัมพาตไปเลย ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับวินัยและความเฉียบขาดยามเล่นเคาน์เตอร์แอทแท็คซึ่งก็ต้องชมนักเตะด้วยว่าทำออกมาได้ตามแผนเป๊ะ ๆ จนแทบไม่ต้องปรับแก้อะไรกลางคัน

 

ฟังเฉย ๆ อาจรู้สึก เห้ย ทำไมมันง่ายจังฟระ ! แต่ไอ้ความง่ายแบบนี้เป็นอะไรที่พูดง่าย แต่ทำจริง ๆ แล้วยากมาก เพราะคู่แข่งคือ ลิเวอร์พูล จ่าฝูงผู้เดินหน้าล่าสถิติแชมป์ไร้พ่ายอยู่ ณ เวลานี้

 

ฉะนั้นถ้า เพียร์สัน ไม่สามารถปลุกใจลูกทีมให้ฮึกเหิมและรักษาระเบียบวินัยไว้ได้อย่างนี้ เราคงเห็นรังแตนโดนเครื่องจักรสีแดงไล่บี้จนแหลกลาญไปแล้วล่ะ

5. ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในช่วงแผ่ว

FBL-ENG-PR-WATFORD-LIVERPOOL

 

สำหรับ เดอะ ค็อป หลาย ๆ คนอาจไม่ยอมรับว่าทีมรักของตนเริ่มออกอาการแผ่วมาได้พักหนึ่งแล้ว เพราะพวกเขากำลังฮึกเหิมกับความเป็น “หงส์แดงผู้อหังการ” ที่กำลังเดินหน้าล่าแชมป์ลีกพร้อมสถิติไร้พ่าย

 

แต่ถ้ามองกันแบบเป็นกลาง ก็เชื่อว่ามีแฟนบอลส่วนหนึ่งรวมถึงคอลูกหนังหลาย ๆ คนดูออกว่า อาการของ ลิเวอร์พูล ในช่วงเดือนที่ผ่านมาดูแผ่ว ๆ ยังไงชอบกล

 

เพราะถ้าไม่นับเกมถล่ม เซาธ์แฮมป์ตัน 4-0 ก็ต้องบอกว่าเป็นเดือนที่กราฟความร้อนแรงของ ลิเวอร์พูล เริ่มทิ้งตัวลงต่ำอย่างช้า ๆ เริ่มจากการเฉือนชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่เกือบจะจบลงด้วยผลเสมอ ต่อมาบุกอัด เวสต์แฮม 2-0 ด้วยฟอร์มที่ไม่ได้ว้าวอะไรขนาดนั้น

 

เกมเฉือน นอริช ก็ถือว่าเล่นกันไม่ค่อยดี ต้องให้ ซาดิโอ มาเน ลุกจากม้านั่งสำรองมาช่วยยิงท้ายเกม จากนั้นได้เล่นกับ เวสต์แฮม อีกรอบ แต่ความนี้เกือบแย่เพราะโดนส่องถึง 2 ลูก แต่โชคดีที่ ฟาเบียนสกี้ ซองแตกจนทำให้พลิกกลับมาชนะได้สุดมันส์

 

แต่ที่แตกหักจริง ๆ ก็เห็นจะเป็นการบุกพ่าย แอตเลติโก มาดริด ในศึก UCL นี่แหละ เพราะมันทำให้ เวสต์แฮม และ วัตฟอร์ด รู้จุดอ่อนจนเอามาต่อสู้ได้อย่างไม่เป็นรอง (แถมเหนือกว่าด้วย)

 

แน่นอนว่าเรื่องคว้าแชมป์ลีกน่ะชัวร์อยู่แล้ว แต่คำถามคือ ลิเวอร์พูล จะกลับคืนสู่ฟอร์มร้อนแรงได้อีกครั้งเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *