5 สุดยอดการคัมแบ็ค ในรายการ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จะทำให้คุณต้องขนลุกซู่ !

5. เชลซี 4 – 1 นาโปลี ปี 2012แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ : 16 ทีมสุดท้าย ผลงานจบลง : คว้าแชมป์  คัมแบ็กจากสกอร์ : เลกแรกแพ้ 1-3 เลกสองชนะ 3-1 ได้ประตูช่วงต่อเวลาเป็น 4-1   เกมนี้ เชลซี ยกทีมไปโดน นาโปลี อัดมาก่อนถึง 3-1 ซึ่งในเวลานั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องยากไม่น้อย หาก สิงห์บลูส์ ต้องการที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป เพราะ นาโปลี ที่มี คาวานี รวมถึง ลาเวซซี นั้นช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน  แต่พวกเขาก็ทำได้ เมื่อในเวลา 90 นาที เชลซี กด นาโปลี ใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไป 3-1 จึงจำเป็นจะต้องเล่นช่วงต่อเวลาออกไปอีก […]

5. เชลซี 4 – 1 นาโปลี ปี 2012

แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ : 16 ทีมสุดท้าย

ผลงานจบลง : คว้าแชมป์ 

คัมแบ็กจากสกอร์ : เลกแรกแพ้ 1-3 เลกสองชนะ 3-1 ได้ประตูช่วงต่อเวลาเป็น 4-1  

เกมนี้ เชลซี ยกทีมไปโดน นาโปลี อัดมาก่อนถึง 3-1 ซึ่งในเวลานั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องยากไม่น้อย หาก สิงห์บลูส์ ต้องการที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป เพราะ นาโปลี ที่มี คาวานี รวมถึง ลาเวซซี นั้นช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน 

แต่พวกเขาก็ทำได้ เมื่อในเวลา 90 นาที เชลซี กด นาโปลี ใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไป 3-1 จึงจำเป็นจะต้องเล่นช่วงต่อเวลาออกไปอีก และในนาทีที่ 105 เสียงเฮของแฟน เชลซี ก็ต้องดังสนั่น เมื่อพวกเขาได้ประตูชัยจาก บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ส่งพวกเขาเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งยังเป็นหนทางไปสู่การคว้าแชมป์ในปีนี้อีกด้วย

4. เดปอร์ติโว ลาคอรุนญา 4 – 0 เอซี มิลาน ปี 2004

แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ : 8 ทีมสุดท้าย

ผลงานจบลง : ตกรอบ รองชนะเลิศ

คัมแบ็กจากสกอร์ : เลกแรกแพ้ 1-4 เลกสองชนะ 4-0 

เอซี มิลาน กุมความได้เปรียบไว้ในมือด้วยสกอร์ถึง 4-1 ก่อนแล้วในเลกแรก ก่อนที่เกมเลกสองพวกเขาจะต้องบุกไปเยือน เดปอร์ติโว ที่ สเปน และก็ต้องช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมวันนั้น

เมื่อเหล่า เดปอร์ ทำสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับทีมอย่าง เอซี มิลาน ด้วยการยิงในครึ่งแรกออกนำไปก่อนถึง 3-0 ซึ่งสกอร์นี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเข้ารอบต่อไปด้วยกฏอเวย์โกล แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจ เมื่อเขาได้อีก 1 ลูกปิดเกมเป็น 4-0 ทำให้เข้ารอบรองฯได้สำเร็จ ก่อนจะปลิวตกรอบด้วยการพ่ายให้กับทีมแชมป์ในปีนั้นอย่าง ปอร์โต้

3. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 – 1 บาเยิร์น มิวนิค ปี 1999

แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ : ชิงชนะเลิศ

ผลงานจบลง : คว้าแชมป์

คัมแบ็กจากสกอร์ : 0-1 เป็น 2-1 

แน่นอนว่าผลของเกมนี้ ทำให้เราได้ยินคำว่า "Football bloody hell" จากปากชายที่เป็นบรมกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังจากที่สามารถพา แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าถ้วยบิ๊กเอียในปี 1999 ได้

หลังจากที่พวกเขาโดนขึ้นนำก่อนจากฟรีคิกของ มาริโอ บาสเลอร์ ตั้งแต่นาทีที่ 6 ก่อนที่จะเล่นหนังชีวิตครั้งใหญ๋ ด้วยการช็อกแฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะ บาเยิร์น มิวนิค ที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะเสียสองประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งในรายของ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ซัดประตูตีเสมอให้ก่อนลูกแรก ก่อนที่เขาจะแอสซิสต์ให้ เพชฌฆาตหน้าทารก ยิงพาทีมความแชมป์ไปแบบหน้าตาเฉย และยังเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ของ ปีศาจแดง อีกด้วย

2. ลิเวอร์พูล 3-3 เอซี มิลาน ปี 2005

แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ : ชิงชนะเลิศ

ผลงานจบลง : คว้าแชมป์

คัมแบ็กจากสกอร์ : 0-3 เป็น 3-3 และชนะจุดโทษ 6-5

เชื่อว่าใครที่ชมแมตซ์นี้ อาจจะคิดไปแล้วว่าเกมคงจะจบลงด้วยการที่ เอซี มิลาน เป็นแชมป์ หลังจากที่พวกเขาได้ประตูออกนำตั้งแต่นาทีที่ 1 จาก อินซากี้ และจาก เชฟเชนโก้ และ เครสโป ทำให้จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 3-0 เป็นสกอร์ที่แทบจะปิดฉากคว้าแชมป์ได้แล้ว

แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรไปปลุกใจเหล่า เร้ด แมชชีน ที่ในครึ่งหลังลงสนามมาเล่นกันอย่างกับหนังคนละม้วน เมื่อพวกเขาได้ 3 ประตูรวดภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จาก เจอร์ราร์ด, สมิเซอร์ และลูกซ้ำจุดโทษของ อลอนโซ สุดท้าบจบ 90 นาที และ 120 นาทีด้วยสกอร์ 3-3 ต้องดวลจุดโทษหาผู้ชนะ

และก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่แม่นกว่า และก็ต้องยกเครดิตให้กับ เจสซี ดูเด็ค ที่จัดดับเบิลเซฟ เซฟลูกโทษของ อันเดรีย ปิร์โล และ เชฟเชนโก้ ไว้ได้ ช่วยให้ หงส์แดง คว้าถ้วยบิ๊กเอียเป็นสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ

1. บาร์เซโลนา 6 – 1 ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ปี 2017

แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ : 16 ทีมสุดท้าย

ผลงานจบลง : ยังไม่จบทัวร์นาเม้นต์

คัมแบ็กจากสกอร์ : เลกแรกแพ้ 0-4 เลกสองชนะ 6-1

เป็นหนึ่งในเกมประวัติศาสตร์ เนื่องจากในรายการ แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังไม่เคยมีทีมใดที่สามารถพลิกสถานการณ์จากการตกเป็นรองถึง 4 ลูกแล้วเข้ารอบได้เลย ซึ่ง บาร์ซา ก็ได้แสดงให้แฟนบอลทั่วโลกเห็นแล้ว

ในเกมแรกการบุกไปเยือนทริป ฝรั่งเศส ของเหล่าต่างดาว ยับเยินเลยทีเดียวเพราะโดนกดไปก่อนถึง 4-0 สื่อและแฟนบอลทั่วโลกต่างไม่มีใครเชื่อว่า บาร์เซโลนา จะดีพอที่จะพลิกกลับมาเข้ารอบได้ แต่เมื่อเป็นคราวในถิ่น คัมป์นู ทุกอย่างเริ่มตันได้สวยงาม เมื่อพวกเขาได้ประตูเรียกกำลังจาก ซัวเรซ ตั้งแต่นาทีที่ 3 และลูกที่สองก่อนหมดครึ่งแรกเป็น 2-0 

กำลังใจของทีม เจ้าบุญทุ่ม ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาอีก เมื่อพวกเขาได้ประตูที่ 3 จากจุดโทษและเป็น เมสซี ซํดเข้าไปไม่เหลือซาก โมเมนตัมเริ่มเอนเอียงมาทางเจ้าบ้าน แต่เสียงใน คัมป์นู ต้องเงียบลงอีกครั้ง เมื่อ ปารีสฯ ได้หนึ่งประตูจาก คาวานี่ ซึ่งเป็นการโยนโจทย์ใหม่ให้ บาร์ซา ต้องยิงถึง 3 ลูกจึงจะผ่านเข้ารอบได้

และลูกฟรีคิกของ เนย์มาร์ ก็ปลุกให้พวกเขาตื่นอีกครั้ง เมื่อไล่มาห่าง ๆ เป็น 4-1 ช่วงทดเวลา 5 นาทีพวกเขายังได้เฮอีกครั้ง จากจุดโทษที่ เนย์มาร์ ยิงเข้าไปเป็น 5-1 จบเกมสกอร์นี้ บาร์ซา ก็ยังคงตกรอบด้วยกฎอเวย์โกล เกมเดินทางมาถึงช่วงทดเวลานาทีสุดท้าย พวกเขาได้ฟรีคิกเกือบกลางสนาม เนย์มาร์ พยายามหาช่องเปิดเข้าไป บอลเหมือนจะเลย ปิเก้ ไปแล้ว เหมือนฝันกำลังจะจบลง แต่เป็น เซร์กี้ โรเบร์โต้ หลุดกำดักล้ำหน้าดีดบอลเข้าประตูไป ทำให้ บาร์ซา เข้ารอบไปแบบปาฏิหาริย์ เหนือคำบรรยายจริง ๆ 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *